วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ข่าวสารส่งเสริมการเกษตร

สำนักงานเกษตรจังหวัดชัยนาท

แก้วมังกรปลูกง่ายสร้างรายได้เสริมสุขภาพด้วยผลไม้ปลอดภัย
“แก้วมังกร” ผลไม้ปลอดภัยจากสารพิษ มีกากใยสูง แคลอรี่ต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินซี คลอโรฟิลล์ เมล็ดของแก้วมังกรอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวสามารถต่อต้านปฏิกริยาอ๊อกซิเดชั่น เมื่อทานแล้วช่วยดับร้อนผ่อนกระหาย และบำรุงสุขภาพผิวพรรณสดชื่น ในสุภาพสตรีจะช่วยกระตุ้นต่อมน้ำนม ใช้เป็นผลไม้เสริมสุขภาพ และความงามได้เป็นอย่างดี แก้อาการท้องผูก ช่วยควบคุมน้ำหนัก มีแคลเซียมสูง รวมทั้งช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่น สำหรับคุณค่าทางอาหารที่ได้รับจากผลแก้วมังกรในส่วนที่กินได้ 100 g. ประกอบด้วย พลังงาน 59 kcal น้ำ 85.38 % โปรตีน 1.27 grams ไขมัน 0.68 grams คาร์โบไฮเดรต 11.87 grams เถ้า 0.80 grams วิตามิน E 0.35 milligrams B1 0.06 milligrams B2 0.03 milligrams Niacin 0.18 milligrams ในด้านราคาประมาณ 25 บาท/กิโลกรัม ราคาจะสูงขึ้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของผลผลิต ช่วงเวลาและเทศกาลต่างๆ เช่นตรุษจีน ผลผลิตที่ได้ประมาณหลักละ 30 กิโลกรัม เมื่อโตเต็มที่
นายชาลี ไป๋งาม เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร ประจำตำบลวังไก่เถื่อน อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท ผู้ปลูกแก้วมังกร กล่าวว่า ด้วยเห็นว่า แก้วมังกรเป็นพืชที่ปลูกง่าย ให้ผลผลิตเมื่ออายุประมาณ 8 เดือนจึงนำมาปลูกแซมในสวนส้มโอขาวแตงกวา ในพื้นที่ 2 ไร่ 3 งาน จำนวน 250 หลักเพื่อเป็นรายได้เสริมและพัฒนาความรู้ด้วยการปฏิบัติจริงในพื้นที่ของตนเองสร้างความมั่นใจในการส่งเสริมสู่เกษตรกรต่อไป
การจัดหาพันธุ์ ด้วยลักษณะของต้นแก้วมังกร (Dragon Fruit) เป็นพืชตระกูลตะบองเพชร ในตระกูล Hylocereus spp. ลำต้นสีเขียวดั่งมังกร จึงเรียกว่าต้นมังกรเขียว(Green Dragon) ผลดูคล้าย “ลูกแก้ว” ลำต้นอวบน้ำเป็นแฉกสามแฉกคล้ายต้นโบตั๋น แต่ต้นโบตั๋นเป็นไม้ดอกไม้ประดับ เพราะไม่มีผลติดอยู่โรยร่วงหล่น จึงควรระวังในการเลือกซื้อพันธุ์แก้วมังกร เพราะอาจกลายเป็นต้น “โบตั๋น” โดยต้นแก้วมังกรนั้นเมื่อดอกบานเต็มที่จะเหี่ยวและร่วงหล่นส่วนโคนดอกจะเป็นรูปกลมรีหรือรูปไข่ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-4 นิ้ว และยาวประมาณ 4 – 6 นิ้ว มีน้ำหนักระหว่าง 200 – 500 กรัม เปลือกมีสีสันสดใส สีแดงอมชมพู โดยมีบางส่วนของกลีบดอกเล็ก ๆ ติดอยู่ที่ผลสีเขียว ทำให้ดูสวยงามสะดุดตา เมื่อผ่าผลออกมาจะพบว่าเนื้อในมีสีขาวขุ่น ภายในมีเมล็ดเล็ก ๆ สีดำคล้าย เมล็ดงาดำหรือแมงลักฝังตัวกระจายอยู่ทั่วไป เป็นจำนวนมาก
การจัดหาพันธุ์ ด้วยลักษณะของต้นแก้วมังกร (Dragon Fruit) เป็นพืชตระกูลตะบองเพชร ในตระกูล Hylocereus spp. ลำต้นสีเขียวดั่งมังกร จึงเรียกว่าต้นมังกรเขียว(Green Dragon) ผลดูคล้าย “ลูกแก้ว” ลำต้นอวบน้ำเป็นแฉกสามแฉกคล้ายต้นโบตั๋น แต่ต้นโบตั๋นเป็นไม้ดอกไม้ประดับ เพราะไม่มีผลติดอยู่โรยร่วงหล่น จึงควรระวังในการเลือกซื้อพันธุ์แก้วมังกร เพราะอาจกลายเป็นต้น “โบตั๋น” โดยต้นแก้วมังกรนั้นเมื่อดอกบานเต็มที่จะเหี่ยวและร่วงหล่นส่วนโคนดอกจะเป็นรูปกลมรีหรือรูปไข่ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-4 นิ้ว และยาวประมาณ 4 – 6 นิ้ว มีน้ำหนักระหว่าง 200 – 500 กรัม เปลือกมีสีสันสดใส สีแดงอมชมพู โดยมีบางส่วนของกลีบดอกเล็ก ๆ ติดอยู่ที่ผลสีเขียว ทำให้ดูสวยงามสะดุดตา เมื่อผ่าผลออกมาจะพบว่าเนื้อในมีสีขาวขุ่น ภายในมีเมล็ดเล็ก ๆ สีดำคล้าย เมล็ดงาดำหรือแมงลักฝังตัวกระจายอยู่ทั่วไป เป็นจำนวนมาก
การปลูกแก้วมังกร แก้วมังกรเป็นไม้เลื้อยลำต้นอ่อน จึงใช้หลักใยหินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้วเทปูนไว้ก้นท่อเพื่อไว้ใส่น้ำหล่อเลี้ยงให้เสามีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ฝังท่อลงในดินประมาณ 40 –50 ซม. สูงจากพื้นดินประมาณ 2 เมตร ให้ลำต้นเกาะยึดด้านบนของเสาทำเป็นร้านเส้นผ่าศูนย์กลาง 45 เซนติเมตร ให้กิ่งเกาะแผ่ขยายออกไประยะปลูก 3 x 3 เมตร ซึ่งจะทำให้ได้ 177 หลักต่อไร่ การเตรียมพื้นที่และการเตรียมดิน เป็นพื้นที่ที่น้ำไม่ท่วมขัง ระบายน้ำดี มีการตรวจคุณภาพดิน ดูค่าความเป็นกรดเป็นด่าง ปริมาณธาตุอาหารในดิน เพราะถ้ามีการเตรียมดินที่ดี ก็จะทำให้ได้ผลผลิตที่ดีด้วย โดยเตรียมหลุมขนาด 30x30x30 ซม. รอบ ๆ หลัก หลักละ 4 หลุม สำหรับปลูกหลุมละ 1 ต้น รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักเก่า 1 ปุ้งกี๋การปลูกต้องใช้ความระมัดระวังในการปลูกเพื่อไม่ให้รากกระทบกระเทือมมากนัก
ปลูกโดยให้ด้านแบนหันเข้าหาเสา การปลูกไม่ควรให้กิ่งชิดเสามากนัก เอาดินกลบโคน ให้กิ่งเอนเล็กน้อย ปักไม้ชิดกิ่งผูกให้มั่นคง ทำบังร่มให้กิ่งที่ปลูกกันแดดให้ 1 –2 สัปดาห์ หลังปลูกทำการให้น้ำ แต่พอประมาณ ไม่ควรให้มากเกินไปเพราะจะทำให้รากขาดอากาศได้ หาวัสดุมาคลุมดินโคนต้น เพื่อรักษาความชุมชื้นให้กับดิน มีการตรวจดูศัตรูพืชทั้งโรคและแมลง เช่น มดคันไฟ และโรคอื่นๆ ที่อาจเกิดได้ มีการตัดแต่งกิ่ง เพื่อไม่ให้เสารับน้ำหนักมากเกินไป และไม่ให้กิ่งมีมากเกินไปด้วย การใส่ปุ๋ย ต้องดูปริมาณธาตุอาหารที่มีอยู่ด้วยว่ามีปริมาณเท่าใด เพราะถ้าให้ไม่เหมาะสมกับความต้องการ อาจทำให้เกิดปัญหาได้ แต่จากการประมาณการให้ใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยอินทรีย์เก่า หลักละ 1 บุ้งกี๋ หลังปลูก 2 เดือน ปีแรก ใส่ปุ๋ย เสมอสูตร 15 ประมาณ 1-2 ขีด ทุกๆ 2 เดือนปีต่อมา ให้ปุ๋ยคอก 1-4 บุ้งกี๋/หลัก ตามอายุและขนาดพุ่ม
การให้ผลผลิต ต้นแก้วมังกรที่เติบโตจากการใช้กิ่งปักชำเมื่ออายุได้ประมาณ 8 –10 เดือน จะให้ผลผลิต การเริ่มออกดอก จะออกบริเวณปลายกิ่ง มีลักษณะคล้ายดอกโบตั๋น คือมีสีเหลืองอมชมพูซึ่งสวยงามมาก จะบานในเวลากลางคืน อยู่ได้ประมาณ 2 –3 วัน จะเหี่ยวและร่วงไป เหลือผลที่มีกลีบเลี้ยงหุ้มหลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน ผลจะแก่และเก็บเกี่ยวได้ โดยปกติใน 1 ปี ต้นแก้วมังกรจะให้ผลผลิตได้ประมาณ 4 รุ่น ตั้งแต่ พฤษภาคมถึง สิงหาคม ของทุกปี จากผลที่ได้รับในรุ่นแรกที่ผ่านมาผลผลิตประมาณหลักละ 5 ก.ก. ราคา25 บาท/กก. และคาดว่าเมื่อโตเต็มที่แล้วจะได้ผลผลิตประมาณ 30 กก./หลักโดยต้นแก้วมังกรจะเริ่มให้ดอกชุดแรกในเดือนมีนาคมและดอกชุดสุดท้ายในเดือนกรกฎาคม
จากผลที่ได้รับจึงเห็นว่าน่าจะเป็นรายได้เสริมให้กับเกษตรกรที่มีพื้นที่ปลูกไม่มากนัก จึงปลูกแก้วมังกรในโครงการหนึ่งฟาร์มหนึ่งตำบล โดยอาศัยพื้นที่ของนางชุดา แก้วอิน บ้านเลขที่ 85 หมู่ 8 ต.วังไก่เถื่อน อ.หันคา พื้นที่ 2 ไร่ โดยมีตะไคร้เป็นพืชแซมเป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง และขอบอกเคล็ดลับเพื่อทานให้อร่อยว่า ผลแก้วมังกรที่เก็บเกี่ยวจากต้นแล้วถ้านำมาใส่ถุงพลาสติกนำไปแช่เย็นจะสามารถเก็บรักษาได้ประมาณ 15 วัน โดยไม่เหี่ยวแล้วยังเพิ่มความหวานให้กับผลด้วย
นายจำเนียร เร่งเทียน เกษตรจังหวัดชัยนาท กล่าวเสริมในด้านการตลาดว่า ผู้ที่คิดว่าจะปลูกแก้วมังกรเพื่อการค้า ถึงแม้ว่าขณะนี้ผลไม้ชนิดนี้กำลังเป็นที่จับตามอง เนื่องจากปลูกง่ายราคาดี และเป็นที่ต้องการของต่างประเทศก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งได้หรือไม่ เพราะยังไม่แน่ว่าในอนาคตหากมีการปลูกกันมากขึ้น เกษตรกรจะประสบปัญหาด้านตลาดหรือราคาเหมือนเช่นที่พืชเศรษฐกิจบางชนิดที่เคยผ่านมา จึงขอให้เกษตรกรได้พิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจ เพื่อลดความเสี่ยงควรผลิตรูปแบบสวนผสมหรือการปลูกพืชแซมเสริมรายได้ เพื่อการใช้พื้นที่ทุกตารางเมตรอย่างคุ้มค่า

ชัด ขำเอี่ย/รายงาน

(ปิดหน้าต่างนี้)(กลับหน้าบทความ)